Social Learning Theory หรือ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม

ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ของ Ronals L. Akers คือ การพัฒนาและการขยายทฤษฎี Differential Association ของ Sutherland โดยทฤษฎีการคบหาสมาคมที่แตกต่าง (Differential Association Theory) ระบุว่า พฤติกรรมทางอาญาเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น แต่ไม่ได้ระบุกลไกในการเรียนรู้พฤติกรรมดังกล่าว ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมสามารถเข้าใจได้อย่างกว้างๆ ว่าเป็นแนวทางพฤติกรรมทางสังคมที่เน้น “ปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างความรู้ความเข้าใจ พฤติกรรม และสิ่งแวดล้อม” ของพฤติกรรมมนุษย์ (Bandura, 1977)

การพัฒนาทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม สามารถสืบย้อนไปถึงงานของ Robert L. Burgess และ Ronald L. Akers ในปี 1966 ดังที่นำเสนอในผลงาน เรื่อง “A differential Association-reinforcement theory of crime behaviour” งานนี้รวมทฤษฎีทางสังคมวิทยาก่อนหน้านี้ของความทฤษฎีการคบหาสมาคมที่แตกต่าง กับทฤษฎีการเสริมแรง พื้นที่การศึกษานี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาชญวิทยากระแสหลักด้วยการตีพิมพ์ผลงานของ Ronald L. Akers เรื่อง “Deviant Behaviour: A Social Learning Approach” ในปี ค.ศ.1973 ทฤษฎีนี้ยังถือเป็นหนึ่งในทฤษฎีร่วมสมัยที่มีการทดสอบมากที่สุดเกี่ยวกับอาชญากรรมและการเบี่ยงเบน และได้ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนและการทดสอบมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1970

Sutherland and Akers ให้เหตุผลว่า เราเรียนรู้ที่จะมีส่วนร่วมในอาชญากรรมผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับอาชญากร และการใช้คำจำกัดความ (Difinition) ที่อำนวยต่อการก่ออาชญากรรม อย่างไรก็ตาม Akers อธิบายลักษณะของคำจำกัดความดังกล่าวได้ครบถ้วนมากขึ้น Akers ได้ขยายทฤษฎี Differential Association เขาให้เหตุผลว่าอาชญากรรมอาจเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ (Imitation) และการเสริมแรงที่แตกต่าง (Differential Reinforcement)

Ronald L. Akers (1998) อธิบายว่า “ความน่าจะเป็นที่บุคคลจะมีส่วนร่วมในพฤติกรรมทางอาญาและพฤติกรรมเบี่ยงเบนจะเพิ่มขึ้น และความน่าจะเป็นของการปฏิบัติตามบรรทัดฐานจะลดลง เมื่อพวกเขามีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่กระทำความผิดทางอาญา และยอมรับคำจำกัดความที่เอื้ออำนวยต่อการก่ออาชญากรรม”

ทฤษฎีของ Akers ได้อาศัยแนวคิดหลัก 4 ประการ ได้แก่ การคบหารสมาคมที่แตกต่าง (Differential Association), คำจำกัดความ (Definitions), การเสริมแรงที่แตกต่าง (Differential reinforcement), and การแลียนแบบ(Imitation) (Akers et al., 1979).

1. การคบหาสมาคมที่แตกต่าง (Differential association)

  • การคบหาสมาคมที่แตกต่าง หมายถึง กระบวนการที่บุคคลมีประสบการณ์กับค่านิยมในการให้ความยอมรับหรือไม่ยอมรับพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย หรือปฏิบัติตามกฎหมาย
  • มิติในการคบหาสมาคมกัน คือ การที่บุคคลที่มีบรรทัดฐานต่างกันมีการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น โดยมีการเรียนรู้พฤติกรรมจากกลุ่มคนที่มีคบหาสมาคมด้วย ซึ่งถือเป็นคนไกของการเรียนรู้ทางสังคม
  • กลุ่มคนที่บุคคลได้มีการคบหาสมาคมด้วยนี้ นอกจากจะให้การยอมรับแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ บุคคลได้มีการเลียนแบบและมีการสนับสนุนพฤติกรรมอาชญากรรม หรือพฤติกรรมผิดกฎหมาย
  • กลุ่มบุคคล ที่สาคัญก็คือ ครอบครัวและเพื่อนฝูง สาหรับกลุ่มที่สาคัญรองลงมาก็คือ เพื่อนบ้าน ครูในโรงเรียน กฎหมายและผู้มีอำนาจปกครอง ตลอดจนสื่อมวลชนและแหล่งที่มาของทัศนคติต่างๆ
  • ความเข้มข้นของการเรียนรู้นั้นเกิดจาก การคบหาสมาคมที่เกิดขึ้นก่อน ซึ่งมีระยะเวลานานกว่า มีความถี่บ่อยกว่า หรืออยู่ใกล้ชิดมากกว่า ก็จะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลผู้นั้นมากกว่า

2. การนิยาม (Definitions)

  • Definitions คือ ทัศนคติ หรือการตีความของแต่ละคนที่ยึดติดกับพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่ง กล่าวคือเป็น เหตุผลส่วนบุคคล การตีความส่วนบุคคล และศีลธรรมอื่นๆ ที่กำหนดการกระทำว่าถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี เป็นที่พึงปรารถนาหรือไม่พึงปรารถนา หากบุคคลมีทัศนคติไม่ยอมรับการกระทำใดก็มักจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการกระทำที่ตนไม่ยอมรับ
  • ยิ่งมีทัศนคติที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำบางอย่างมากเท่าใด คนๆ หนึ่งก็มีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในการกระทำเหล่านั้นน้อยลงเท่านั้น ในทางกลับกัน ยิ่งทัศนคติของตัวเองยอมรับพฤติกรรมเบี่ยงเบนมากเท่าใด โอกาสที่คนๆ หนึ่งจะกระทำผิดก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
  • ในทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม คำจำกัดความเหล่านี้มีทั้งความหมายทั่วไปและเฉพาะเจาะจง ความหมายทั่วไป หมายถึง ค่านิยมและบรรทัดฐานทางศาสนา ศีลธรรม และแบบแผนอื่นๆ ส่วน คำจำกัดความเฉพาะ กำหนดทิศทางของบุคคลในการกระทำเฉพาะ ดังนั้น บางคนอาจเชื่อว่าการลักขโมยเป็นความผิดทางศีลธรรม และควรป้องกันการโจรกรรม แต่ในขณะเดียวกัน เราอาจมองว่าการสูบกัญชาเป็นสิ่งผิดเล็กน้อยและให้เหตุผลว่าการฝ่าฝืนกฎหมายเรื่องยาเสพติดเป็นสิ่งสามารถกระทำได้
  • ทัศนคติทางบวก หรือเป็นกลางต่อพฤติกรรมอาชญากรรม รวมถึงการหาเหตุผลเข้าข้างตนเองเพื่อหาข้ออ้างในการกระทำผิด เช่น “ทุกคนเคยทำผิดกฎหมาย”, “ฉันเมา ฉันไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป”
  • การตีความ หรือการให้คำจำกัดความเหล่านี้ ส่งผลต่อการกระทำความผิดหรือพฤติกรรมทางอาญาโดยทำหน้าที่เป็นสิ่งเร้าในการเลือกปฏิบัติถูกหรือผิด ซึ่งขึ้นอยู่กับทัศนคติต่อพฤติกรรมทางอาชญากรรมของแต่ละคน

3. การเสริมแรงที่แตกต่าง (Differential reinforcement)

  • การเสริมแรงที่แตกต่าง หมายถึง ความสมดุลของรางวัลและการลงโทษจากสิ่งที่คาดหวัง หรือเป็นผลที่ตามมาของพฤติกรรม การที่บุคคลจะละเว้นหรือก่ออาชญากรรม ขึ้นอยู่กับรางวัลและการลงโทษในอดีต ปัจจุบัน และที่คาดหวังในอนาคต ความน่าจะเป็นที่การกระทำจะเกิดขึ้น หรือทำซ้ำจะเพิ่มขึ้นโดยการได้รับรางวัลจากผลลัพธ์
  • ผลกระทบของการลงโทษ จะเกิดขึ้นในทางบวกหรือทางลบหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ก่อนหน้านี้ของแต่ละคน เราเรียนรู้ที่จะตีความว่าน่าพอใจ น่าสนุก หรือน่ากลัว ย่อมขึ้นอยู่กับประสบการณ์
  • ผลการเสริมแรงของพวกเขาอาจมาจากการบรรลุเป้าหมายทางอุดมการณ์ ศาสนา การเมือง หรืออื่นๆ แม้แต่สิ่งตอบแทนที่เรามองว่าจับต้องได้ เช่น เงินและทรัพย์สินทางวัตถุ ก็ยังได้รับคุณค่าที่เสริมความแข็งแกร่งจากคุณค่า การเห็นชอบที่พวกเขามีในสังคม

4. การเลียนแบบ (Imitation)

  • การเลียนแบบ หมายถึง การมีส่วนร่วมในพฤติกรรม หลังจากการสังเกตพฤติกรรมจากผู้อื่น พฤติกรรมเลียนแบบผู้อื่นจะเลียนแบบหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของต้นแบบพฤติกรรมที่ถูกสังเกต ตลอดจนผลที่ได้รับจากพฤติกรรมนั้น (Bandura, 1977)
  • การสังเกตต้นแบบพฤติกรรมสำคัญในกลุ่มปฐมวัย และรวมถึงสื่อมวลชน ส่งผลกระทบทั้งพฤติกรรมที่สนับสนุนสังคมและพฤติกรรมเบี่ยงเบน (Donnerstein and Linz, 1995) ดังนั้น การสังเกตดังกล่าวน้ี มีความสาคัญต่อการเลียนแบบและสร้างพฤติกรรมใหม่

ภาพรวมของทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม

ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของ Akers ผสมผสานทฤษฎีการคบหาสมาคมที่แตกต่างดั้งเดิมของ Sutherland เกี่ยวกับพฤติกรรมอาชญากรเข้ากับหลักการเรียนรู้พฤติกรรมทั่วไป โดย ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของ Akers ได้มุ่งเน้นไปที่แนวคิดหลัก 4 ประการของการคบหาสมาคมที่แตกต่าง คำจำกัดความ การเสริมแรงที่แตกต่าง และการเลียนแบบ กระบวนการนั้นมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ละเมิดบรรทัดฐานทางสังคมและกฎหมาย คำอธิบายการเรียนรู้ทางสังคมเกี่ยวกับอาชญากรรมและการกระทำผิดได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากหลักฐานการวิจัย รวมถึงการวิจัยโดย Akers และผู้ร่วมงาน พบว่าการเรียนรู้ทางสังคมได้รับการสนับสนุนโดยสังเกตจากการอธิบายความแตกต่างของบุคคลในพฤติกรรมที่กระทำผิดและกระทำผิดทางอาญา

Development of theory

– ทฤษฎีการคบการสมาคมที่แตกต่าง (Differential Association Theory) ของ Sutherland กล่าวในข้อ 8 ของทฤษฎีว่า กลไกการเรียนรู้ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางอาญาอย่างไร นอกเหนือจากความคิดเห็นสั้นๆ เขาไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าจริงๆแล้ว กลไกของการเรียนรู้คืออะไร

– กลไกการเรียนรู้เหล่านี้ถูกกำหนดให้ชัดเจนขึ้นโดย Burgess and Akers (1966) ในทฤษฎีการเสริมแรงสมาคมที่แตกต่าง (Differential Association Reinforcement) ของพฤติกรรมทางอาญา

– Burgess และ Akers (1966) ได้นำเสนอแนวคิดใหม่ที่รักษาหลักการของการการคบหาสมาคมที่แตกต่าง ทบทวนในแง่ของหลักการเรียนรู้ของผู้ปฏิบัติงานและการปรับสภาพของผู้ตอบแบบสอบถามที่พัฒนาโดยนักจิตวิทยาด้านพฤติกรรม Akers ติดตามผลงานช่วงแรกของเขากับ Burgess เพื่อพัฒนาทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม นำไปใช้กับพฤติกรรมทางอาญา กระทำผิด และเบี่ยงเบนโดยทั่วไป

– ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory)อธิบายพฤติกรรมทางอาญา และการกระทำผิดอย่างถี่ถ้วนมากกว่าทฤษฎีการคบหาสมาคมที่แตกต่าง (Differential Association Theory) ดั้งเดิม แต่ยังคงแนวความคิดของความสัมพันธ์และคำจำกัดความจากทฤษฎีของ Sutherland

– ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ เป็นทฤษฎีที่กล่าวว่า ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมส่วนใหญ่เป็นการแลกเปลี่ยนความหมายและสัญลักษณ์ บุคคลมีความสามารถทางปัญญาในการจินตนาการถึงตนเองในบทบาทของผู้อื่นและรวมสิ่งนี้ไว้ในแนวความคิดของตนเอง (Ritzer, 1992)

– ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมมีความใกล้เคียงกับทฤษฎี Cognitive Learning เช่น อัลเบิร์ต บันดูรา (1973; 1977; 1986; Bandura and Walters, 1963) มากกว่าพฤติกรรมหัวรุนแรงหรือแบบออร์โธดอกซ์ของ B.F. Skinner (1953; 1959)

 


References

  1. Akers, Ronald L. (1985). Deviant Behavior: A Social Learning Approach. Belmont, CA: Wadworth.
  2. Akers, Ronald L. (2009). Social Learning and Social Structure: A General Theory of Crime and Deviant. New Brunswick, NJ: Transaction
  3. Akers, Ronald L. and Gary F Jenson, eds. (2003). Social Learning Theory and the Explanation of Crime. New Brunswick, NJ: Transaction
  4. Akers, Ronald L. (2010). “Social Learning Theory: Process and Structure in Criminal and Deviant Behavior.” In Eugene McLaughin and Tim Newburn (ads.),The Sage Handbook of Criminological Theory, pp.56-71. London: Sage.
  5. Bandura, A. (1977). Social Learning Theory. Englewood Cliffs, NJ: Prentice Hall.
  6. Burgess, Robert L. and Ronald L. Akers. (1966). “A Differential Association-Reinforcement Theory of Criminal Behavior.” Social Problems, 14, pp.128-147.
  7. Donnerstein, E. and D. Linz. (1995). The media. In James Q Wilson and Joan Petersilia, (Eds.), Crime(pp. 237−266). San Francisco: ICS Press.
  8. Haynie, D. L., E. Silver and B. Teasdale. (2006). Neighbourhood characteristics, peer networks, and adolescent violence. Journal of Quantitative Criminology, 22(2), 147−69.
  9. Hochstetler, A., H. Copes and M. DeLisi.(2002). Differential association in group and solo offending. Journal of Criminal Justice, 30(6), 559−566.
  10. Jensen, G.F. and R.L. Akers. (2003). Taking social learning global: Micro-macro transitions in criminological theory. In R.L. Akers and G.F. Jensen (Eds.) Social Learning Theory and the Explanation of Crime (pp. 9−37). New Brunswick, NJ: Transaction.
  11. Sellers, C. S., J.K. Cochran and L. T. Winfree. (2003). Social learning theory and courtship violence: An empirical test. In R.L. Akers and G.F. Jensen (Eds.), Social Learning Theory and the Explanation of Crime (pp. 109−128). New Brunswick, NJ: Transaction.
  12. Steffenmeier, D. and J. Ulmer. (2003). Confessions of a dying thief: A tutorial on differential association. In R.L. Akers and G.F. Jensen (Eds.), Social Learning Theory and the Explanation of Crime (pp. 227−264). New Brunswick, NJ: Transaction.
Related Post
ARTICLE

ฆาตกรต่อเนื่อง (Serial Killer)

ฆาตกรต่อเนื่องมีพฤติกรรมการไล่ล่าไม่ต่างจากปลาฉลาม ปลาฉลามไม่ได้โจมตีเหยื่อโดยบังเอิญ แต่จะสะกดรอยตามเหยื่อที่ซ่อนตัวอยู่ ฉลามจะพักคอยสังเกต

Read More »
ARTICLE

Mass murder ที่เป็น Serial killer และมีรสนิยม “ฆ่ายกครัว” (Anatoly Onoprienko)

ประเทศไทยได้เริ่มรู้จัก Mass murder กันหลายคดีตั้งแต่ปี 63 ถึงปัจจุบัน นับแต่จ่าคลั่งโคราชถึงนายสิบตำรวจอุทัยสวรรค์ สิ่งที่สร้างความเสียใจให้ทุกคน

Read More »