ทฤษฎีปกตินิสัย (Routine Activity Theory) ถูกเสนอครั้งแรกโดย Marcus Felson และ Lawrence E. Cohen (1979) ในการอธิบายการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเกิดอาชญากรรมในสหรัฐอเมริการะหว่างปี 1947 และ 1974 ทฤษฎีนี้ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง และกลายเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในอาชญาวิทยา ทฤษฎีปกตินิสัยศึกษาความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างอาชญากรรมกับสิ่งแวดล้อมและเน้นกระบวนการทางนิเวศวิทยา
การเปลี่ยนแปลงในสังคมสมัยใหม่ ผู้คนให้ความสำคัญกับกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การมีส่วนร่วมของสตรีในกำลังแรงงาน และการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษา การเดินทางออกนอกเมือง หรือการย้ายถิ่นฐานถาวร กิจกรรมนอกบ้านเหล่านี้ ทิ้งบ้านให้ว่างเปล่าและไม่มีการป้องกันที่ดีส่งผลให้เกิดโอกาสในการก่ออาชญากรรม นอกจากนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในช่วงเวลานี้ทำให้มีเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กในบ้านเพิ่มขึ้น (เช่น โทรทัศน์) สิ่งมีค่าเหล่านี้ทำให้บ้านน่าดึงดูดมากขึ้น และง่ายต่อการเคลื่อนย้าย
ทฤษฎีปกติวิสัย อธิบายเหตุการณ์อาชญากรรมผ่านองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ที่บรรจบกันในโอกาสและเวลาในชีวิตประจำวัน
1. A Potential Offender ผู้ที่อาจกระทำความผิดซึ่งมีความสามารถในการก่ออาชญากรรม
2. A Suitable Target เป้าหมายหรือเหยื่อที่เหมาะสม
3. The absence of guardians capable การไม่มีผู้ปกครองที่สามารถปกป้องเป้าหมายและเหยื่อได้
องค์ประกอบที่หนึ่ง คือ ผู้กระทำความผิดอาจเป็นใครก็ได้ที่มีแรงจูงใจที่จะก่ออาชญากรรมและมีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น Cohen และ Felson (1979) ใช้คำว่า “ผู้กระทำความผิดที่มีแรงจูงใจ” แต่ในงานต่อมาพวกเขาหลีกเลี่ยงคำว่า “แรงจูงใจ” เนื่องจากพวกเขาพบว่า สิ่งเกี่ยวข้องอย่างแท้จริงไม่ใช่พฤติกรรมหรือแรงจูงใจในการก่ออาชญากรรม แต่เป็นปัจจัยทางกายภาพที่ทำให้บุคคลสามารถมีส่วนร่วมในอาชญากรรมได้ แนวทางนี้มีส่วนทำให้เกิดการเบี่ยงเบนความสนใจจากตัวผู้กระทำความผิดเพื่อให้เข้าใจถึงอาชญากรรมมากขึ้น
องค์ประกอบที่สอง คือ เป้าหมายที่เหมาะสม บุคคลหรือทรัพย์สินที่อาจถูกคุกคามโดยผู้กระทำความผิด Felson เลือกใช้คำว่า “เป้าหมาย” มากกว่า “เหยื่อ” เนื่องจากในอดีต เคยให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริงที่ว่า อาชญากรรมส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่การได้มาซึ่งทรัพย์สิน ดังนั้น “เหยื่อ” ที่หมายถึงตัวบุคคลอาจจะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ (Felson & Clarke, 1998) ความน่าจะเป็นที่เป้าหมายจะเหมาะสมมากหรือน้อยนั้นได้รับอิทธิพลจากคุณลักษณะ 4 ประการ อธิบายจากมุมมองของผู้กระทำความผิดโดยใช้ตัวย่อ VIVA (value, inertia, visibility, and access)
- Value หมายถึง คุณค่าของเป้าหมายจากมุมมองของผู้กระทำความผิด
- Inertia ความเฉื่อย หมายถึง ขนาด น้ำหนัก และรูปร่าง หรือลักษณะทางกายภาพของบุคคลหรือสิ่งของ ที่ทำหน้าที่เป็นอุปสรรคหรือขัดขวางผู้กระทำความผิด
- Visibility การมองเห็น หรือการเปิดเผยของเป้าหมายต่อผู้กระทำความผิด
- Access การเข้าถึง หมายถึง การเข้าถึงตำแหน่งของวัตถุที่เพิ่มความเสี่ยงของการก่ออาชญากรรม หรือทำให้ง่ายต่อการดำเนินการ
องค์ประกอบที่สาม คือ การขาดผู้ปกครองหรือผู้ดูแลที่มีความสามารถ หมายถึงใครบางคนที่สามารถแทรกแซงเพื่อหยุดหรือขัดขวางอาชญากรรม (Cohen & Felson, 1979) ผู้ปกครองที่สามารถป้องกันอาชญากรรมได้ คือ ผู้ที่ไม่ได้ก่ออาชญากรรม และผู้ที่ไม่ทำให้มีโอกาสเกิดอาชญากรรมมากขึ้น (Felson, 1995) จากเหตุการ์อาชญากรรมสังเกตได้ว่า ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลจะไม่อยู่เมื่อมีเหตุอาชญากรรมเกิดขึ้น (Felson & Boba, 2010) ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลอาจหมายถึง คือ ผู้ครอบครองบ้าน ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือผู้สัญจรไปมา โดยทั่วไปแล้ว พวกเขาเหล่านี้สามารถปกป้องตนเอง ปกป้องผู้อื่น หรือปกป้องทรัพย์สินของตนเองหรือของผู้อื่นผ่านการปรากฏตัวได้
บนพื้นฐานขององค์ประกอบ 3 ประการที่นำเสนอโดย Cohen และ Felson (1979) ในข้างต้น ได้แก่ ผู้กระทำความผิด เป้าหมาย และผู้พิทักษ์ และผู้จัดการสถานที่ได้เพิ่มมาในภายหลัง โดย Eck (1994) ได้พัฒนาสิ่งที่เรียกว่า สามเหลี่ยมอาชญากรรมซึ่งแยกแยะองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับอาชญากรรมที่จะเกิดขึ้นจากองค์ประกอบที่เรียกว่า ผู้ควบคุม ที่มีศักยภาพที่จะป้องกันได้ อธิบายภาพรวม อธิบายได้ว่า ผู้กระทำความผิด เป้าหมาย และสถานที่ ซึ่งอยู่ในสามเหลี่ยมด้านใน ถูกควบคุมโดยผู้ควบคุม ซึ่งอยู่ในสามเหลี่ยมด้านนอก ซึ่งสามารถลดความน่าจะเป็นของเหตุการณ์อาชญากรรมโดยการควบคุมแต่ละองค์ประกอบทั้งสามนี้ ซึ่งอธิบายในเรื่องถัดไป
โดยสรุป ทฤษฏีปกตินิสัยมีหลักการพื้นฐานเกิดจากองค์ประกอบครบทั้งสามประการ คือ อาชญากรที่จากระทําผิด เหยื่อท่ีเหมาะสม และการขาดผู้ดูแลรักษาทรัพย์สิน โดย Cohen และ Felson ให้ความหมายของคำว่าปกติวิสัยว่าหมายถึง กิจวัตรประจำวันหรือการกระทำของบุคคลที่ทํากระทำเป็นประจํา เช่น การไม่มีคนเฝ้าบ้าน การใช้กระเป๋าหรือเครื่องประดับราคาแพง การเดินทางเส้นทางเดิม ซึ่งการเกิดอาชญากรรมมักจะเกิดจากกิจวัตรประจำวันของเหยื่อ ที่ส่งผลให้อาชญากรอาศัยโอกาสหรือช่องว่างเหล่านี้ในการตัดสินใจประกอบอาชญากรรม
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีปกตินิสัย ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดในด้านความชอบธรรมทางศีลธรรม นักวิจัยหลายคนคัดค้านว่า การมุ่งเน้นที่กิจกรรมประจำวันซึ่งเป็นการตำหนิเหยื่อ และแสดงให้เห็นว่าขาดความสนใจอย่างสมบูรณ์ของศึกษาผู้กระทำความผิดโดยตรง ดังนั้นจึงลืมสาเหตุของปัญหาไป (Tilley, 2009) ในแง่นี้ ทฤษฎีแม้ว่าจะเริ่มต้นจากสมมติฐานของการมีอยู่ของ “ผู้กระทำความผิดที่มีแรงจูงใจ” แต่ทฤษฎีปกตินิสัยไม่ได้กำหนดความหมายของแรงจูงใจไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น จึงไม่สามารถตอบคำถามที่ว่า “ใครคือผู้กระทำความผิดที่มีแรงจูงใจ” “แรงจูงใจมีคุณสมบัติอะไรบ้าง” และ “เหตุใดบุคคลบางคนจึงมีแรงจูงใจในการก่ออาชญากรรมมากกว่าคนอื่น” (Akers, 1997)
References
- Akers, R. (1998). Social learning and social structure: A general theory of crime and deviance. Boston: North- eastern University Press.
- Cohen, L., & Felson, M. (1979). Social change and crime rate trends: A routine activity approach. American Sociological Review, 44, 588–608.
- Cornish, D. B., & Clarke, R. V. (Eds.). (1986). The reasoning criminal: Rational choice perspectives on offending. New York: Springer.
- Eck, J. E. (1994). Drug markets and drug places: A case – control study of the spatial structure of illicit drug dealing. Unpublished doctoral dissertation. Univer- sity of Maryland, College Park, MD.
- Felson, M. (1995). Those who discourage crime. In J. E. Eck & D. Weisburd (Eds.), Crime prevention studies: Vol. 4. Crime and place (pp. 53 – 66). Monsey, NY: Criminal Justice Press.
- Felson, M., & Boba, R. (2010). Crime and everyday life (4th ed.). Thousand Oaks, CA: Sage.
- Felson, M., & Clarke, R. V. (1998). Opportunity makes the thief. Practical theory for crime prevention (Police Research Series, Paper 98). London: Home Office, Policing and Reducing Crime Unit.
- Felson, M., & Cohen, L. E. (1980). Human ecology and crime: A routine activity approach. Human Ecology, 8(4), 389–405.
- Hindelang, M. J. (1976). Criminal victimization in eight American cities: A descriptive analysis of common theft and assault. Cambridge, MA: Ballinger.
- Hollis-Peel, M. E., Reynald, D. M., van Bavel, M., Elffers, H., & Welsh, B. C. (2011). Guardianship for crime prevention: A critical review of the literature. Crime, Law and Social Change, 56(1), 53–70.
- Mayhew, P., Clarke, R., Sturman, A., and Hough, M. (1976). Crime as opportunity (Home Office Research Study 34). London.
- Miró, F. (2011). La oportunidad criminal en el ciberespacio. Aplicación y desarrollo de la teoría de las actividades cotidianas para la prevención del cibercrimen. Revista Electrónica de Ciencia Penal y Criminología, 13-07.
- Sherman, L. W., Gartin, P. R., & Buerger, M. E. (1989). Hot spots of predatory crime: Routine activities and the criminology of place. Criminology, 27, 27–56.
- Tewksbury, R., & Mustaine, E. E., (2001). Lifestyle factors associated with the sexual assault of men: A routine activity theory analysis. The Journal of Men’s Studies, 9(2), 153–182.
- Tilley, N. (2009). Crime prevention. Cullompton, UK: Willan.