Rational Choice Theory หรือ ทฤษฎีคิดก่อนกระทำผิด

ในทางอาชญาวิทยา ทฤษฎีคิดก่อนกระทำผิด หรือ ทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผล (Rational Choice Theory)ใช้แนวคิดเรื่องอรรถประโยชน์ (Utilitarian) ที่ว่า มนุษย์เป็นผู้มีเจตจำนงเสรี (Free will) และมีเหตุมีผล ซึ่งก่อนการตัดสินใจจะกระทำสิ่งใดจะมีการคำนึงถึงผลเสียและผลประโยชน์ ทฤษฎีนี้นำเสนอโดย Cornish และ Clarke (1986) เพื่อช่วยต่อยอดในการป้องกันอาชญากรรมตามสถานการณ์

ทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผล (Rational Choice Theory) และทฤษฎีการป้องกันหรือการยับยั้งข่มขู่ (Deterrence Theory) เป็นทฤษฎีหลักในสำนักอาชญาวิทยาดั้งเดิม (Classical School)

มุมมองการเลือกอย่างมีเหตุผล ถือว่ามนุษย์มีอำนาจและความสามารถในการเลือกกระทำอย่างอิสระ โดยทั่วไปในกรอบการเลือกอย่างมีเหตุผลยังเป็นหลักการของ “อรรถประโยชน์” ของการมีส่วนร่วมในพฤติกรรมบางอย่าง ความหมายว่าเมื่อเราดำเนินการตามกระบวนการตัดสินใจ มนุษย์จะคำนวณผลเสียและประโยชน์ก่อนเสมอ การเลือกที่มีเหตุผลจะใช้สติสัมปชัญญะเพื่อเพิ่มความพึงพอใจและลดความเจ็บปวดให้น้อยที่สุด ตามหลักการอรรถเป็นประโยชน์นี้ บุคคลเลือกที่จะมีส่วนร่วมในอาชญากรรมได้อย่างอิสระเพราะมองว่าอาชญากรรมเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจและผลได้ประโยชน์

ความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุมีผลกับพฤติกรรมทางอาญามีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มุมมองเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์เริ่มเข้ามาแทนที่แนวคิดเรื่องการก่ออาชญากรรมจากหลักศาสนา ซึ่ง Thomas Hobbes แย้งว่า มนุษย์มีเหตุและผลที่จะแสวงหาผลประโยชน์ของตนโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น

มากกว่าหนึ่งศตวรรษต่อมา แนวคิดบางส่วนจากงาน Hobbes ถูกนำไปใช้กับพฤติกรรมอาชญากรรมเพื่อเริ่มวางรากฐานสำหรับอาชญาวิทยาคลาสสิก จากผลงานของ Beccaria (1764) และ Bentham (1789) อธิบายว่า ผู้คนมีเจตจำนงเสรี (Free will) จึงมีอำนาจในการเลือกพฤติกรรมของตนเองเพื่อพยายามที่จะเพิ่มความสุขและลดความเจ็บปวด การตัดสินใจของแต่ละคนเกี่ยวข้องกับกระบวนการชั่งน้ำหนักผลเสียและประโยชน์ของการกระทำ อาชญากรรมจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตามที่มีการตัดสินใจว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากการก่ออาชญากรรมมีมากกว่าผลเสียของการกระทำ (Becker, 1968; Cornish & Clarke, 1986)

แม้ว่าทฤษฎีอาชญาวิทยาในปัจจุบันหลายๆ ทฤษฎีมองว่าการลงโทษเป็นการยับยั้งอาชญากรรมได้ดีที่สุด แต่ทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผลกลับมุ่งเน้นไปที่การป้องกันแทน ด้วยเหตุนี้ Beccaria จึงเสนอว่าการลงโทษที่รวดเร็ว รุนแรง และแน่นอนที่เป็นสัดส่วนกับอาชญากรรม สามารถใช้เป็นตัวยับยั้งอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (Kubrin, Stucky, & Krohn, 2009)

ตามกรอบทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผล (Rational Choice Theory)ในปัจจุบันเชื่อว่า รูปแบบของตัดสินใจแตกต่างกันไปตามประเภทของอาชญากรรม ดังนั้น อาชญากรรมจึงไม่ได้เกิดขึ้นโดยการสุ่ม (Cornish & Clarke, 1986) แต่เชื่อว่าการก่ออาชญากรรมเป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและบริบทของสถานการณ์ในการตัดสินใจ เช่น ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผ่านมา และประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับอาชญากรรม และการตัดสินใจเกี่ยวกับความเต็มใจที่จะก่ออาชญากรรมเพื่อสนองความต้องการ

ทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผลสมัยใหม่ แบ่งออกเป็น 2 ทฤษฎีย่อย ได้แก่ ทฤษฎีการเลือกตามสถานการณ์ หรือที่เรียกว่า การป้องกันอาชญากรรมตามสถานการณ์ (Situational Crime Prevention) และทฤษฎีปกตินิสัย (Routine Activity Theory)

ทฤษฎีแรก คือ ทฤษฎีการป้องกันอาชญากรรมตามสถานการณ์ (Situational Crime Prevention) ซึ่งถูกพัฒนาโดย Clarke และต่อมาได้รวมเข้ากับกรอบทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผลของเขา ก่อตั้งขึ้นจากแนวคิดที่ว่า ผู้คนก่ออาชญากรรมโดยอาศัยปัจจัยด้านสถานการณ์นอกเหนือจากตัวอาชญากรรมเอง การป้องกันอาชญากรรมตามสถานการณ์พยายามที่จะจัดการกับสิ่งแวดล้อมเพื่อลดโอกาสที่อาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรม

สอดคล้องกับมุมมองการเลือกอย่างมีเหตุผล ทฤษฎีปกตินิสัย (Routine Activity Theory) มุ่งเน้นไปที่ลักษณะของอาชญากรรมมากกว่าสนใจตัวผู้กระทำความผิด (Cohen & Felson, 1979) ตามทฤษฎีแล้ว ต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ จึงจะมีโอกาสเกิดอาชญากรรม: ผู้กระทำความผิดที่มีแรงจูงใจ เป้าหมายที่เหมาะสม และการไม่มีผู้ปกครองที่มีความสามารถ โดยพื้นฐานแล้ว การที่บุคคลก่ออาชญากรรมนั้นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมระหว่างแรงจูงใจ โอกาส และเป้าหมายที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน

Osgood (1996) ได้อธิบายว่า กิจกรรมประจำวันมีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับพฤติกรรมที่กระทำผิดและอาชญากรรมที่หลากหลาย รวมถึงการใช้แอลกอฮอล์ในปริมาณมาก การใช้ยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย และการขับรถที่เป็นอันตราย (Osgood et al., 1996; Kubrin et al., 2009) ดังนั้น โอกาสที่บุคคลจะตัดสินใจก่ออาชญากรรมอย่างมีเหตุผลจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อมีส่วนร่วมองค์ประกอบที่กล่าวข้างต้น

ภาพรวมของ ทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผล (Rational Choice Theory)

จากกรอบทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผล (Rational Choice Theory) สำหรับพฤติกรรมอาชญากรรมที่ตั้งอยู่บนสมมติฐานของมนุษย์ผู้มีเจตจำนงเสรี (Free will) และการตัดสินใจที่มีเหตุผลว่า โอกาสที่บุคคลจะก่ออาชญากรรมจึงขึ้นอยู่กับความสมดุลของความเสี่ยงและผลตอบแทน อาชญากรรมจะถูกยับยั้งก็ต่อเมื่อผลเสียจากการก่ออาชญากรรมมีมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับ เนื่องจากหลักการของอรรถประโยชน์ (Utility)เป็นพื้นฐานของกรอบการเลือกอย่างมีเหตุผล

ดังนั้น นโยบายการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพควรปฏิบัติตามหลักการพื้นฐานของทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผล และยอมรับว่าบุคคลต่าง ๆ พยายามที่จะเพิ่มความพึงพอใจสูงสุดและลดความเจ็บปวดให้เหลือน้อยที่สุด ตามที่เสนอไว้ในผลงานของ Beccaria (1764) ผู้กำหนดนโยบายควรมุ่งมั่นเพื่อกฎหมายที่รวดเร็ว รุนแรง และแน่นอน และยังคงสัดส่วนกับอาชญากรรมที่ก่อขึ้น

แม้ว่าหลักการที่เรียบง่ายของมาตรการเหล่านี้จะมีจุดแข็งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ควรใช้ความระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลระยะยาวที่ไม่ได้ตั้งใจที่อาจเกิดมาจากนโยบายอาชญากรรมที่มีผลการยับยั้งในระยะสั้น ประโยชน์ทันทีต่อสังคมที่นำเสนอโดยทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผลและการป้องกันอาชญากรรมจากสถานการณ์อาจน่าสนใจจากมุมมองของนโยบาย แต่ยังมีอีกมากที่ยังต้องทดสอบมุมมองด้านอาชญาวิทยาหลักนี้ การวิจัยในอนาคตควรดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องและความเป็นไปได้ของทฤษฎีการเลือกที่มีเหตุผลต่อนโยบายการควบคุมอาชญากรรมและโครงการป้องกันอาชญากรรมต่อไป

 


References

  1. Beccaria, C. (1764). Of crimes and punishments. (J. Grigson, Trans.) New York, NY: Marsilio Publishers.
  2. Becker, G.S. (1968). Crime and punishment: An economic approach. Journal of Political Economy76, 169–217.
  3. Bentham, J. (1789). An introduction to the principle of morals and legislations. Oxford, UK: Blackwell.
  4. Clarke, R. V. G. (1997). Situational crime prevention. Criminal Justice Press.
  5. Cornish, D., & Clarke, R. (1986). Introduction. In D. Cornish & R. Clark (Eds.), The reasoning criminal: Rational choice perspectives on offending. New York, NY: Springer-Verlag.
  6. Felson, M., & L.E. Cohen. (1980). Human ecology and crime: A routine activity approach. Human Ecology, 8(4), 389−405.
  7. Hobbes,T. [1651] (1960). Leviathan: Or the matter, form and power of a commonwealth ecclesiastical and civil. Yale University Press.
  8. Kubrin, C. E., Stucky, T. D., & Krohn, M. D. (2009). Researching theories of crime and deviance. New York: Oxford University Press.
  9. Osgood, D. W., Wilson, J. K., Bachman, J. G., O’Malley, P. M., & Johnson, L. D. (1996). Routine activities and individual deviant behavior. American Sociological Review61, 635-655.
  10. Paternoster, R., & Piquero. A. (1995). Reconceptualizing deterrence: An empirical test of personal and vicarious experiences. Journal of Research in Crime and Delinquency32, 251-286.
Related Post
ARTICLE

ฆาตกรต่อเนื่อง (Serial Killer)

ฆาตกรต่อเนื่องมีพฤติกรรมการไล่ล่าไม่ต่างจากปลาฉลาม ปลาฉลามไม่ได้โจมตีเหยื่อโดยบังเอิญ แต่จะสะกดรอยตามเหยื่อที่ซ่อนตัวอยู่ ฉลามจะพักคอยสังเกต

Read More »
ARTICLE

Mass murder ที่เป็น Serial killer และมีรสนิยม “ฆ่ายกครัว” (Anatoly Onoprienko)

ประเทศไทยได้เริ่มรู้จัก Mass murder กันหลายคดีตั้งแต่ปี 63 ถึงปัจจุบัน นับแต่จ่าคลั่งโคราชถึงนายสิบตำรวจอุทัยสวรรค์ สิ่งที่สร้างความเสียใจให้ทุกคน

Read More »