ทฤษฎีการคบหาสมาคมที่แตกต่าง นำเสนอว่า ผู้คนเรียนรู้ค่านิยม ทัศนคติ เทคนิค และแรงจูงใจสำหรับพฤติกรรมการเป็นอาชญากรผ่านการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น นับทฤษฎีการเรียนรู้เกี่ยวกับการเบี่ยงเบนซึ่งนำเสนอครั้งแรกโดยนักสังคมวิทยา Edwin Sutherland ในปี 1939 และแก้ไขในปี 1947 ทฤษฎีนี้ยังคงมีความสำคัญอย่างมากต่อสาขาอาชญวิทยาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทฤษฎีของ Sutherland ได้อธิบายรูปแบบของข้อเสนอ 9 ประการ โดยให้เหตุผลว่าพฤติกรรมของอาชญากรนั้น เรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่สนิทสนม อาชญากรเรียนรู้ทั้งเทคนิคการก่ออาชญากรรม และสิ่งที่เอื้ออำนวยต่ออาชญากรรมจากคนเหล่านี้ ข้อเสนอที่ 6 ซึ่งเป็นหัวใจของทฤษฎีนี้ กล่าวว่า “บุคคลกลายเป็นผู้กระทำผิดเพราะการตีความที่เห็นด้วยต่อการก่ออาชญากรรมที่มากเกินไปซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการละเมิดกฎหมาย”
หลักการสำคัญ มี 9 ประการ ในทฤษฎีการคบหาสมาคมที่แตกต่าง
1. พฤติกรรมอาชญากรเกิดจากการเรียนรู้ หมายความว่า พฤติกรรมอาชญากรไม่ได้สืบทอดทางบรรพบุรุษ
2. พฤติกรรมของการเป็นอาชญากร เรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นผ่านกระบวนการสื่อสาร
3. ส่วนสำคัญของการเรียนรู้พฤติกรรมอาชญากรเกิดขึ้นภายในกลุ่มบุคคลใกล้ชิดสนิทสนม รวมถึงการสื่อสารที่ไม่มีตัวตน เช่น ภาพยนตร์และสื่อต่างๆ
4. การเรียนรู้พฤติกรรมอาชญากร การเรียนรู้รวมถึงเทคนิคการก่ออาชญากรรม ตอดจนแรงจูงใจ แรงผลักดัน การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง และทัศนคติในการก่อการอาชญ
5. เรียนรู้ทิศทางของแรงจูงใจและแรงผลักดันจากการตีความของประมวลกฎหมายว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับกฎหมาย ในบางสังคม ปัจเจกบุคคลรายล้อมไปด้วยบุคคลที่กำหนดประมวลกฎหมายเคร่งครัดเป็นกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตาม ในขณะที่ในสังคมอื่นๆ อาจรายล้อมไปด้วยบุคคลที่มีการตีความกฎหมายเอื้อต่อการละเมิดประมวลกฎหมาย
6. บุคคลกลายเป็นผู้กระทำผิดเนื่องจากมีการตีความที่เห็นด้วยกับการละเมิดกฎหมายมากกว่าการตีความที่ไม่เห็นด้วยกับการละเมิดกฎหมาย
7. การเชื่อมโยงที่แตกต่างกันอาจแตกต่างกันไปตามความถี่ ระยะเวลา ลำดับความสำคัญ และความรุนแรง ซึ่งหมายความว่าความสัมพันธ์กับพฤติกรรมอาชญากร และความสัมพันธ์กับพฤติกรรมต่อต้านอาชญากรนั้นแตกต่างกันไป
8. กระบวนการเรียนรู้พฤติกรรมอาชญากร เกี่ยวข้องกับกลไกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้อื่นๆ หมายความว่า การเรียนรู้พฤติกรรมการเป็นอาชญากรไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกระบวนการเลียนแบบ ตัวอย่างเช่น บุคคลที่ถูกล่อลวง
9. แม้ว่าพฤติกรรมทางอาญาจะเป็นการแสดงออกถึงความต้องการและค่านิยมทั่วไป แต่ก็ไม่ได้อธิบายโดยความต้องการและค่านิยมทั่วไปเหล่านั้น เนื่องจากพฤติกรรมที่มิใช่อาชญากรเป็นการแสดงออกถึงความต้องการและค่านิยมเดียวกัน โจรมักจะขโมยเพื่อเงิน แต่คนทำงานที่ซื่อสัตย์ก็ทำงานเพื่อเงินเช่นกัน
โดยสรุป พฤติกรรมของอาชญากร เรียนรู้โดย การติดต่ออย่างใกล้ชิดภายในกลุ่ม และความประพฤติที่แสดงออกในลักษณะอาชญากร จะขึ้นอยู่กับ ความแตกต่างของระยะเวลา ความสม่ำเสมอในการติดต่อกับกลุ่มที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน
Empirical Study
ทฤษฎีการคบสมาคมที่แตกต่างของการกระทำผิด ได้รับการสนับสนุนโดยการศึกษาของเคมบริดจ์ในการพัฒนาโดย Farrington และคณะ (2006) การศึกษานี้เป็นการศึกษาระยะยาวเกี่ยวกับพัฒนาการของพฤติกรรมเบี่ยงเบน และต่อต้านสังคมในผู้ชาย 411 คน การศึกษาเริ่มต้นเมื่ออายุได้ 8 ขวบ ในปี ค.ศ.1961 ในช่วงเริ่มต้นของการศึกษา พวกเขาทั้งหมดอาศัยอยู่ในเขตเมืองชั้นในของชนชั้นแรงงานที่ขาดแคลนในลอนดอนใต้
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในวัยเด็กที่อายุ 8-10 ปี ที่ส่งผลต่อการมีพฤติกรรมอาชญากร ได้แก่ ความผิดทางอาญาในครอบครัว ความกล้าหาญหรือการเสี่ยงภัย การเรียนในระดับต่ำ ความยากจน และครอบครัวแตกแยก ทฤษฎีนี้คาดการณ์ว่าผู้กระทำความผิดจะมาจากครอบครัวและกลุ่มที่มีบรรทัดฐานเกี่ยวกับความผิดทางอาญา และกิจกรรมทางอาญาที่พวกเขาเกี่ยวข้องนั้นคล้ายคลึงกับกิจกรรมที่พวกเขาได้เรียนรู้
กรณีนี้แสดงให้เห็นโดย Osborne and West (1982) พบว่า เด็กที่เติบโตในครอบครัวอาชญากร มีพฤติกรรมการกระทำผิดสูงมากถึง 40% ในขณะที่มีเพียง 13% ไม่ได้มาจากครอบครัวอาชญากร
นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนโดย Cambridge Study ในการพัฒนาพฤติกรรมการเป็นอาชญากร ดังนั้น การศึกษารูปแบบนี้สามารถอธิบายได้ว่า ปัจจัยเรื่องครอบครัว มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางอาญา
References
- Cressey, Donald R. (1960). “The Theory of Differential Association: An Introduction.” Social Problems, 8(1), pp. 2-6.
- “Differential Association Theory.” LibreTexts: Social Science, 23 May, 2019.
- “Edwin Sutherland’s Differential Association Theory Explained.” Health Research Funding.
- Matsueda, Ross L. (2010). “Sutherland, Edwin H.: Differential Association Theory and Differential Social Organization.” Encyclopedia of Criminological Theory, edited by Francis T. Cullen and Pamela Wilcox. Sage Publications, pp. 899-907.
- Matsueda, Ross L. (1988). “The Current State of Differential Association Theory.” Crime & Delinquency, 34(3) pp. 277-306.
- Ward, Jeffrey T. and Chelsea N. Brown. (2015). “Social Learning Theory and Crime.” International Encyclopedia of the Social & Behavioral Sciences. 2nd ed., edited by James D. Wright. Elsevier, pp. 409-414.