Social Disorganization ทฤษฎีสังคมไร้ระเบียบ

ทฤษฎีสังคมไร้ระเบียบ (Social Disorganization Theory) เป็นทฤษฎีที่พัฒนาโดยสำนักชิคาโก ทฤษฎีนี้เชื่อมโยงอัตราการเกิดอาชญากรรมโดยตรงกับลักษณะทางนิเวศวิทยาในบริเวณใกล้เคียง หลักการสำคัญของทฤษฎีสังคมไร้ระเบียบ ระบุว่าตำแหน่งที่อยู่อาศัยของบุคคลนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเป็นไปได้ที่บุคคลนั้นจะเข้าไปพัวพันกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าที่อยู่อาศัยมีความสำคัญเท่ากับหรือมีความสำคัญมากกว่าลักษณะส่วนบุคคลของบุคคล (เช่น อายุ เพศ หรือเชื้อชาติ) ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีนี้เสนอว่า เยาวชนจากละแวกใกล้เคียงที่ด้อยโอกาสมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมย่อยที่ยอมรับการกระทำผิดจะมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนหรือก่ออาชญากรรม

Shaw and McKay ได้เผยแพร่หนังสือเรื่อง Juvenile Delinquency in Urban Areas (1942)   
Shaw and McKay เป็นคนกลุ่มแรกๆ ในสหรัฐอเมริกาที่ทำการศึกษาอาชญากรรม และการกระทำผิดทั่วเขตเมือง งานวิจัยของพวกเขาสร้างขึ้นโดยนักวิจัยของโรงเรียนชิคาโก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Robert E. Park และ Ernest W. Burgess ซึ่งแบบ จำลองโซนศูนย์กลาง (Concentric zone)ด้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรม การทำให้เป็นเมือง และการย้ายถิ่นฐาน เป็นต้น Park และ Burgess ได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ว่าส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้ชีวิตในชุมชนชิคาโกอย่างไร ทฤษฎีของ Park and Burgess อธิบายลักษณะของโซนต่างๆ ภายในเมือง ซึ่งจากการศึกษาพบว่าบางโซนมีลักษณะและคุณลักษณะที่ไม่เป็นระเบียบ

ในงานของ Shaw and McKay ใช้โมเดลวงแหวน ที่พัฒนาโดย Park และ Burgess เพื่อศึกษาการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน ความสนใจหลักของ Shaw และ McKay คือการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับการกระทำผิด และกำหนดขอบเขตความแตกต่างในลักษณะของพื้นที่ท้องถิ่นมีความแปรผันตามอัตราการกระทำผิด พวกเขาพยายามที่จะตอบคำถาม เช่น การเปลี่ยนแปลงของอัตราการกระทำผิดที่สอดคล้องกับความแตกต่าง ในฐานะ

ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของชุมชนอย่างไร

ในการตอบคำถามเหล่านี้ Shaw and McKay ได้ตรวจสอบการกระจายของการกระทำผิดในชุมชนชิคาโกโดยพิจารณาจากคดีและคำมั่นในศาลเด็กและเยาวชนสามช่วงเวลา: 1900 – 1906, 1917 – 1923 และ 1927 – 1933 หนึ่งในการค้นพบที่สำคัญของพวกเขาคือการกระทำผิดไม่ได้กระจายทั่วเมือง ค่อนข้างจะมีแนวโน้มรวมกลุ่มกันในบางพื้นที่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง อัตราการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนสอดคล้องกับข้อสันนิษฐานของแบบจำลองโซนศูนย์กลาง โดยอัตราการกระทำผิดสูงสุดพบในเขตเมืองชั้นในและลดลงตามระยะทางจากใจกลางเมือง

Shaw and McKay ค้นพบว่าอัตราการเกิดอาชญากรรมไม่กระจัดกระจายไปตามกาลเวลาและพื้นที่ในเมือง ในทางกลับกัน อาชญากรรมมีแนวโน้มที่จะกระจุกตัวในพื้นที่เฉพาะของเมือง และที่สำคัญยังคงค่อนข้างคงที่ในพื้นที่ต่างๆ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของประชากรที่อาศัยอยู่ในแต่ละพื้นที่ ตัวอย่างเช่น ในละแวกใกล้เคียงที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมสูง อัตรายังคงค่อนข้างสูงโดยไม่คำนึงว่ากลุ่มชาติพันธุ์หรือชาติพันธุ์ใดอาศัยอยู่ที่นั่นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

Concentric Zone Model

ในการตอบคำถามนี้ Shaw และ McKay มุ่งเน้นไปที่เขตเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจหรือเรียกว่า “โซนของการเปลี่ยนแปลง” (Transition Zone) เนื่องจากโซนการเปลี่ยนแปลงเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยที่ไม่พึงปรารถนา ซึ่งผู้คนจะทิ้งและย้ายออกเมื่อมีโอกาส โซนของการเปลี่ยนแปลงเป็นพื้นที่ที่ผู้คนย้ายถิ่นฐานเข้าออกอยู่ตลอดเวลา โดยผู้ย้ายถิ่นฐานใหม่จะส่งผลให้พื้นที่เหล่านี้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ ด้วยเหตุนี้ โซนนี้จึงเกิด”ความไร้ระเบียบทางสังคม” สถาบันการควบคุมทางสังคมแบบเดิม (เช่น ครอบครัว โรงเรียน โบสถ์ องค์กรชุมชนอาสาสมัคร) อ่อนแอและไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของเยาวชนในละแวกนั้นได้

Shaw and McKay ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า ชุมชนที่ไม่เป็นระเบียบในสังคมมักจะสร้าง “ประเพณีอาชญากร” ที่สามารถส่งต่อไปยังเยาวชนรุ่นต่อๆ ไปได้ ระบบทัศนคติที่สนับสนุนการกระทำผิดนี้สามารถเรียนรู้ได้ง่ายโดยผ่านการติดต่อกับเยาวชนที่มีอายุมากกว่าทุกวัน ดังนั้น พื้นที่ใกล้เคียงที่มีลักษณะไม่เป็นระเบียบทางสังคมจึงทำให้เกิดอาชญากรรมและการกระทำผิดในสองวิธี: ผ่านการขาดกลไกการควบคุมพฤติกรรมและผ่านการถ่ายทอดวัฒนธรรมของค่านิยมที่กระทำผิด

ในชุมชนท้องถิ่นของอเมริกา ชุมชนที่มีอัตราการกระทำความผิดสูงมีลักษณะทางสังคมและเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำผิดแบบกลุ่ม ซึ่งมีรากฐานมาจากชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของชุมชน กล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงในอัตราของผู้กระทำผิดในชุมชนของเมืองนั้นสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงสถานะทางเศรษฐกิจ ชุมชนที่มีอัตราการกระทำผิดสูงสุดเกิดขึ้นโดยกลุ่มประชากรที่มีฐานะยากจน ชุมชนเหล่านี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อย เป็นอุปสรรคในการได้งานทำและความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมและวิชาชีพ ในทางกลับกัน ชุมชนที่มีอัตราการกระทำผิดต่ำที่สุดมีฐานะทางการเงินที่ค่อนข้างดี ผู้อยู่อาศัยที่นี่ค่อนข้างมีความปลอดภัยสูงและมีความสำเร็จทางวิชาชีพ และการศึกษา

“ข้อเท็จจริงทางสังคม” ที่สำคัญเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เป็นศูนย์กลางของทฤษฎีสังคมไร้ระเบียบสามารถรวบรวมได้จากการศึกษาของโรงเรียนในชิคาโกในช่วงต้น: อาชญากรรมและการกระทำผิดเกิดขึ้นร่วมกับปัญหาสังคมอื่นๆในชุมชน รวมถึงความยากจน การเคหะที่ทรุดโทรม และความไม่มั่นคงในที่พักอาศัย เป็นต้น สำหรับชาวชิคาโก สิ่งนี้บ่งบอกถึงความเชื่อมโยงระหว่างสภาพสังคมและเศรษฐกิจในวงกว้างของพื้นที่และอาชญากรรม การศึกษาในโรงเรียนชิคาโกตอนต้นจึงมีความสำคัญสำหรับการชี้ให้เห็นว่าอาชญากรรมมีอยู่ในบางพื้นที่ของเมืองที่มีการกีดกันทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ดังนั้น การแก้ปัญหาเหล่านี้จึงต้องร่วมกันแก้ไขในหลายๆ ภาคส่วนเพื่อลดช่องวางทางสังคม

มุมมองของ Shaw and McKay มีความหมายเชิงนโยบายที่สำคัญ: หากความไร้ระเบียบในชุมชนเป็นสาเหตุหลักของการกระทำผิด วิธีแก้ปัญหาอาชญากรรมก็คือการจัดระเบียบชุมชน ด้วยเหตุนี้ ในช่วงต้นทศวรรษ 1930 Shaw จึงนำทฤษฎีไปปฏิบัติโดยเริ่มโครงการChicago Area เป็นโครงการภาครัฐและเอกชนในการป้องกันและรักษาการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน โครงการนี้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การสร้างโปรแกรมนันทนาการ เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้าน การเข้าร่วมมือกันของโรงเรียนหรือเจ้าหน้าที่ยุติธรรมทางอาญาเพื่อหารือว่าเยาวชนที่มีปัญหาจะได้รับความช่วยเหลืออย่างไร และแนะนำให้ชาวบ้านในชุมชนให้คำปรึกษาแก่เด็กในละแวกนั้น

ความสัมพันธ์ของชุมชนกับความรุนแรงของเยาวชนนอกเมือง

ทฤษฎีสังคมไร้ระเบียบ ได้ระบุว่าตัวแปรหลายตัว (เช่น ความไม่มีเสถียรภาพในที่พักอาศัย ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ความแตกแยกของครอบครัว สถานะทางเศรษฐกิจ ขนาดหรือความหนาแน่นของประชากร และความใกล้ชิดกับเขตเมือง) มีอิทธิพลต่อความสามารถของชุมชนในการพัฒนาและรักษาระบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่เข้มแข็ง

ความไม่มีเสถียรภาพของที่อยู่อาศัย​ (Residential instability) จากการวิจัยในเขตเมือง อัตราความรุนแรงของเด็กและเยาวชนในชุมชนชนบทจะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราความไม่มั่นคงที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น เมื่อจำนวนประชากรในพื้นที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้อยู่อาศัยมีโอกาสน้อยที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเป็นส่วนตัวต่อกันและมีส่วนร่วมในองค์กรชุมชน (Bursik, 1988) สมมติฐานนี้เป็นหัวใจสำคัญของการวิจัยเกี่ยวกับความไร้ทางสังคม

ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ (Ethnic diversity) ตามทฤษฎีสังคมไร้ระเบียบ กล่าวว่า ในเขตเมือง อัตราความรุนแรงของเด็กและเยาวชนจะสูงขึ้นในชุมชนชนบทที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากขึ้น Shaw and McKay กล่าวว่าความหลากหลายทางชาติพันธุ์ขัดขวางการสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมีโอกาสน้อยลงเมื่อเผชิญกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เนื่องจากความแตกต่างในขนบธรรมเนียมและการขาดประสบการณ์ร่วมกันอาจก่อให้เกิดความกลัวและความไม่ไว้วางใจ (Sampson and Groves, 1989)

ความแตกแยกของครอบครัว (Family disruption) การวิจัยในเขตเมืองพบว่าอัตราการกระทำผิดจะสูงกว่าในชุมชนที่มีระดับความแตกแยกของครอบครัวที่มากขึ้น Sampson (Sampson and Groves, 1989) แย้งว่า การเลี้ยงลูกแบบที่พ่อและแม่ไม่ช่วยกันเอาใจใส่ เลี้ยงดู จะส่งผลให้เด็กขาดการสื่อสารหรือปฏิสัมพันธ์อันดีกับคนในครอบครัว ในที่สุดเด็กเหล่านั้นก็จะหันเหไปคบกลุ่มเพื่อนที่อาจมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนในที่สุด

สถานะทางเศรษฐกิจ (Economic status) แม้ว่าอัตราความรุนแรงในเด็กและเยาวชนจะสูงขึ้นในเขตเมืองที่มีสถานะทางเศรษฐกิจต่ำกว่า แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าความสัมพันธ์นี้ควรนำไปใช้ในพื้นที่ชนบท บทบาทของสถานะทางเศรษฐกิจในทฤษฎีสังคมไร้ระเบียบขึ้นอยู่กับรูปแบบของการเติบโตในเขตเมือง การเติบโตนำในเขตเมืองใหญ่ๆ หลายแห่งนำไปสู่ความเสื่อมโทรมทางกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคมของย่านที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้กับย่านธุรกิจมากที่สุด พื้นที่เหล่านี้จึงพร้อมที่สุดสำหรับคนยากจนและกลุ่มที่อพยพเข้ามาอาศัยในพื้นที่ ด้วยเหตุนี้ พื้นที่ที่มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมเฉลี่ยต่ำที่สุดก็จะมีความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัยและความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากที่สุด ซึ่งจะทำให้เกิดความไร้ระเบียบทางสังคม (Bursik and Grasmick, 1993)

ความหนาแน่นของประชากร (Poppulation density) ความหนาแน่นของประชากรที่สูงทำให้เกิดปัญหาของการไม่เปิดเผยชื่อของผู้อยู่อาศัยซึ่งสร้างความไร้ระเบียบทางสังคมและยากต่อการบริหารจัดการ ในทางกลับกัน Sampson (1983) เสนอว่าความหนาแน่นอาจมีความสำคัญในแง่ของโอกาสในการกระทำผิดมากกว่าในแง่ของความไร้ระเยีบทางสังคม การแยกตัวของการใช้ชีวิตในพื้นที่ที่มีประชากรเบาบางอาจลดโอกาสในการกระทำผิด เนื่องจากระยะห่างที่มากขึ้นจากเป้าหมายและจากเพื่อนร่วมกลุ่มในการก่ออาชญากรรม (Cohen and Felson, 1979) จากการศึกษาที่สนับสนุนแนวคิดนี้พบว่า อัตราการตกเป็นเหยื่อนั้นต่ำที่สุดในชุมชนที่มีประชากรน้อยที่สุด

ความใกล้ชิดกับเขตเมือง (Proximity to urban areas) Heitgerd และ Bursik (1987) เสนอว่า “กลุ่มเยาวชนที่กระทำผิดน้อยกว่ากำลังถูกสังคมหล่อหลอมให้มีพฤติกรรมอาชญากรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นโดยเยาวชนในพื้นที่ใกล้เคียง” ปรากฏการณ์นี้จะก่อให้เกิดอัตราการกระทำผิดในชุมชนชนบทที่อยู่ติดกับเขตมหานครที่สูงขึ้น การวิจัยก่อนหน้านี้ไม่ได้กล่าวถึงหัวข้อนี้ ดังนั้นจึงไม่ชัดเจนว่าการแพร่กระจายดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือไม่

Related Post
ARTICLE

ฆาตกรต่อเนื่อง (Serial Killer)

ฆาตกรต่อเนื่องมีพฤติกรรมการไล่ล่าไม่ต่างจากปลาฉลาม ปลาฉลามไม่ได้โจมตีเหยื่อโดยบังเอิญ แต่จะสะกดรอยตามเหยื่อที่ซ่อนตัวอยู่ ฉลามจะพักคอยสังเกต

Read More »
ARTICLE

Mass murder ที่เป็น Serial killer และมีรสนิยม “ฆ่ายกครัว” (Anatoly Onoprienko)

ประเทศไทยได้เริ่มรู้จัก Mass murder กันหลายคดีตั้งแต่ปี 63 ถึงปัจจุบัน นับแต่จ่าคลั่งโคราชถึงนายสิบตำรวจอุทัยสวรรค์ สิ่งที่สร้างความเสียใจให้ทุกคน

Read More »